มนตรี ศรีโอภาศ เรื่อง / ภาพ

ณ มุมหนึ่งที่ดอยสามหมื่น ท่ามกลางความมืดมิดในคืนข้างแรม มีเพียงแสงตะเกียงดวงน้อยของเราเท่านั้นที่ส่องริบหรี่อยู่กลางลานโล่งบนกิ่วดอย ถ้วยกาแฟใบอุ่นที่กุมไว้ในมือทำให้ผมรู้สึกอุ่นขึ้นบ้าง ในยามที่สายลมหนาวพัดผ่านมากระทบแผ่นกาย แม้จะห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวชั้นดี เสียงสนต้องลมดังหวีดหวิวลึกถึงความรู้สึกอันเปี่ยมสุขที่ได้มาอยู่ ณ ตรงนี้กับคนรู้ใจ
เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้ากว้างยามรัตติกาล หมู่ดาราที่พร่าวพราวจรัสแสงระยิบระยับยวนใจให้หลงใหลคล้อยตามไปไหกลในจินตนาการ จากดาราเด่นดวงหนึ่งไปยังอีกดวงหนึ่ง โยงใยกลายเป็นกลุ่มดาว ก่อนอำพรางให้เป็นเรือนร่างแห่งเทพและสัตว์ในนิยาย สองเราออกมานอนเอนกายนอกชายเต๊นท์ที่มีเพียงเสื่อผืนกับหมอนลม 1 ใบ ซึ่งทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในยามที่ต้องปันกันหนุนนอนดูดาวอย่างเป็นสุขบนหย่อมหญ้าเล็กๆ กลางคืนฟ้าใสไร้แสงจันทร์
ผมหวนนึกถึงบรรพบุรุษของเราที่เฝ้ามองดูท้องฟ้ามานานนับหลายพันปี และเขียนเป็นบันทึกไว้เมื่อได้เห็นดวงดาวที่สวยงาม จนเกิดจินตนาการเห็นดาวเรียงกันเป็นรูปร่างต่างๆ แม้จะดูไม่เหมือนจริง แต่หากเราจินตนาการไปตามบรรพบุรุษแล้วมันก็ดูใกล้เคียง
 

“เธอเห็นกลุ่มดาวเล็กๆ 7 ดวงนั่นมั้ย” ผมชี้ชวนให้คนเคียงกายดู “นั่นมีชื่อเรียกว่าดาวลูกไก่ ฉันจะเล่าตำนานให้เธอฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตายาย 2 คนปลูกกระท่อมอยู่ใกล้เชิงเขา เย็นวันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลดใกล้บ้าน จึงหารือกันว่าจะแกงไก่ไปทำบุญใส่บาตรตอนเช้า แม่ไก่ซึ่งมีลูกเจี๊ยบ 7 ตัวได้ยินเข้าก็สลดใจ เพราะจะถูกฆ่าไปแกง จึงเรียกลูกๆ มาสั่งเสีย บอกลาว่าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว ลูกไก่ทั้งเจ็ดเสียใจจนนอนไม่หลับถึงรุ่งเช้า เมื่อเห็นแม่ถูกตาจับไปฆ่าตายต่อหน้า ลูกไก่ทั้งเจ็ดจึงพากันโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไป ด้วยแรงกตัญญู ลูกไก่จึงไปเกิดเป็นดาวอยู่บนท้องฟ้านั่นไง”

หน้า > 1 2 3