ตอบโจทย์ยุค Next Normal: ทำความรู้จักการทำงานแบบ Hybrid พร้อม Tips ในการทำงาน
Hybrid Working การทำงานรูปแบบใหม่

             หลังจากที่มนุษยชาติอยู่กับวิกฤติโควิด-19 มามากกว่า 2 ปี เชื่อว่าการใช้ชีวิตของใครหลาย ๆ คนคงมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นความปกติถัดไปหรือ Next Normal ของชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่อาจกลายเป็น Next Normal ของชีวิตการทำงานได้คือการทำงานแบบ Hybrid วันนี้ พวกเราจึงขอมาแนะนำคุณผู้อ่านว่าการทำงานแบบ Hybrid คืออะไร ต้องทำอย่างไรบ้างให้งานออกมาปังปุริเย่!

Hybrid Working คืออะไร? มาทำความรู้จักเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่

การทำงานแบบ Hybrid คืออะไร?

             การทำงานแบบ Hybrid คือรูปแบบการทำงานที่เพิ่มอิสรภาพให้กับพนักงานด้วยการลดข้อจำกัดด้านสถานที่ทำงาน นั่นก็คือภายในหนึ่งสัปดาห์ บริษัทที่เปิดรับนโยบายการทำงานแบบ Hybrid จะอนุญาตให้พนักงานสามารถเลือกวันที่ไปทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ตามในโลกได้ เช่น นาย A เข้าออฟฟิศทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และทำงานที่ไหนก็ได้ทุกวันอังคารและพฤหัสบดี เป็นต้น การออกแบบการทำงานแบบ Hybrid นั้นขึ้นอยู่กับการตกลงกันภายในองค์กรหรือภายในแต่ละทีม รวมถึงการทำงานนอกสถานที่นั้นจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคนอื่น

การทำงานแบบ Hybrid ต่างจาก Work From Home อย่างไร?

             การทำงานแบบ Hybrid ต่างจากการ Work From Home ตรงที่การทำงานแบบ Hybrid จะมีการสลับวันที่เข้าออฟฟิศและวันที่สามารถทำงานที่บ้านหรือนอกสถานที่ได้
ส่วนการ Work From Home มุ่งเน้นไปที่การทำงานที่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสในการสัมผัสกับเชื้อโควิด-19

Hybrid Work ต่างจาก Work From Home อย่างไร?

ข้อดีในการทำงานแบบ Hybrid มีอะไรบ้าง ?

𑇐 พนักงานแฮปปี้ ชีวิตมี Work-Life Balance

             เนื่องจากพนักงานในยุคหลังโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะตระหนักถึงสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตในด้านอื่น ๆ หรือ Work-Life Balance มากขึ้น โดยเฉพาะชาว Millennials ที่ถนัดการใช้เทคโนโลยีมาประกอบการทำงาน พวกเขาจึงมองว่าการทำงานที่ไหนก็สามารถให้ผลลัพธ์ได้ไม่ต่างกัน ดังนั้น การทำงานแบบ Hybrid จึงตอบโจทย์มากกว่าการทำงานที่ออฟฟิศหรือ Work From Home เพียงอย่างเดียว พวกเขาสามารถวางแผนสำหรับกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงเลือกสถานที่ทำงาน และจัดการเวลาพักผ่อนหรือวันที่ต้องไปทำธุระได้โดยไม่กระทบต่อชีวิตส่วนอื่น ๆ

𑇐 เซฟเยอะ เซฟคุ้ม ทั้งพนักงาน ทั้งบริษัท

             พนักงานบริษัทหลาย ๆ คนที่ทำงานอยู่ในโซนกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาในการเดินทาง
ไป-กลับระหว่างที่พักและที่ทำงานไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง และยิ่งในช่วงฤดูฝนที่น้ำท่วม
การจราจรติดขัด รถไฟฟ้าคนแออัด อาจใช้เวลาไป-กลับมากสุดถึง 6 ชั่วโมงด้วยกัน ทำให้สิ่งที่พนักงานต้องสูญเสียไม่ใช่แค่ค่าเดินทางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงกายและแรงใจของพนักงานที่ต้องใช้ระหว่างทางด้วย การทำงานแบบ Hybrid จึงเป็นตัวช่วยในการเซฟค่าใช้จ่ายให้กับพนักงาน รวมถึงเซฟแรงไว้ลุยกับงานได้เต็มที่มากขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพนักงานเดินทางมาที่ออฟฟิศน้อยลง ค่าใช้จ่ายของออฟฟิศ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากาแฟซอง ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเช่นกัน เซฟได้ทั้งพนักงานและบริษัทไปในตัว

𑇐 เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้

             Satya Nadella CEO ของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลกอย่าง Microsoft มองว่าการทำงานที่บ้านสามารถสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน หรือ Productivity ให้กับบริษัทได้มหาศาล โดย 70 % ของพนักงาน Microsoft ให้การตอบรับที่ดีกับนโยบายการทำงานแบบ Hybrid เพราะว่าการทำงานในรูปแบบนี้ช่วยสร้างสมดุลให้พนักงานทุกคนมีเวลาโฟกัสกับงานของตัวเองได้ที่บ้านและพัฒนาการทำงานเป็นทีม รวมถึงกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วยการพบปะกันที่ออฟฟิศ

ทำงานแบบ Hybrid อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

ทำอย่างไรให้การทำงานแบบ Hybrid ปังสุด ๆ ?

𑇐 นัดกระชับมิตร ผลิตประสิทธิภาพ

             หนึ่งในข้อจำกัดของการทำงานที่บ้านคือพนักงานจะได้เจอกับเพื่อนร่วมงานน้อยลง ทำให้โอกาสในการแลกเปลี่ยนไอเดียและเช็กสารทุกข์สุขดิบกับเพื่อนร่วมงานก็ลดลงด้วย
ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ก็คือการประชุมหรือนัดพูดคุยกันในทีมเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตงานหรือการรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ภายในทีม เพิ่มความรู้สึกมีส่วนร่วมและเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมถึงยังช่วยสำรวจได้ด้วยว่าตอนนี้
เพื่อนร่วมงานกำลังติดขัดเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า นำไปสู่การแก้ปัญหาในที่สุด การประชุมหรือนัดพูดคุยกันที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นการเข้าออฟฟิศเสมอไป อาจใช้โปรแกรมสำหรับการประชุมหรือพบปะกันทางออนไลน์ก็ได้

𑇐 ใช้เครื่องมือจัดการภาระงานให้คุ้มค่า

             สำหรับหัวหน้างานหลาย ๆ คนอาจกังวลว่าถ้าทำงานที่ไหนก็ได้จะสามารถติดตามงานของลูกน้องได้อย่างไร ในปัจจุบัน มีโปรแกรมที่เรียกว่า Task Management Tools หรือเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการภาระงานเป็นตัวช่วยในการทำงานที่ราบรื่นขึ้นแม้จะไม่ได้นั่งอยู่ในออฟฟิศพร้อมกันก็ตาม โปรแกรมเหล่านี้ใช้งานได้ง่าย ออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานได้เอง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยสามารถมอบหมายงานให้กับลูกน้อง กำหนดวันส่งงาน และติดตามสถานะงานได้ ส่วนในมุมของพนักงาน โปรแกรมเหล่านี้สามารถเป็นตัวช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของงานได้เช่นกัน ในปัจจุบันมี Task Management Tools ให้เลือกใช้อยู่มากมาย ทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย  

𑇐 ย้ายทุกการทำงานมาอยู่บน Online

             ปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท้อปเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น คอมดับตอนกำลังพิมพ์งาน หรือเก็บไฟล์ไว้ในคอมอีกเครื่องหนึ่งแล้วไม่ได้เซฟไฟล์กลับบ้านด้วย การย้าย
ทุกอย่างมาอยู่บนออนไลน์จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้! เพราะในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยลดรอยต่อระหว่างการทำงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Cloud Storage หรือการจัดเก็บข้อมูลบนพื้นที่ออนไลน์ เป็นพื้นที่ที่ทำให้คุณสามารถใช้ไฟล์เดียวกันบนคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้เพียงแค่กดเข้าใช้งานในระบบและสำรองข้อมูลขึ้นระบบ หรือโปรแกรมสำหรับทำงานเอกสารออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นงานนำเสนอหรือตาราง spreadsheet ต่อให้คอมดับ ระบบก็จะเซฟข้อมูลไว้ล่าสุดไว้บนออนไลน์ให้ ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid สุด ๆ

ใช้ Task Management Tools เป็นตัวช่วยในการทำงานแบบ Hybrid

             หากคุณกำลังมองหางานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
การทำงานที่ออฟฟิศ Work From Home หรือทำงานแบบ Hybrid ก็ตาม สามารถค้นหางานที่เหมาะกับตัวคุณได้ที่ www.jobtopgun.com โดยสามารถอ่านรีวิวบรรยากาศการทำงานและอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสมัครงานของคุณได้ทางเว็บไซต์ www.yousayhrsay.com 

สมัครงานกับบริษัทชั้นนำทันที สร้าง Super Resume (ใบสมัครงาน) เลย ฟรี!

คำค้นหายอดนิยม

..