ทำความรู้จักกับ Productivity ตัวชี้วัดความสำเร็จขององค์กร
Productivity ช่วยผลักดันองค์กรและพนักงานสู่ความสำเร็จ

             เชื่อว่าในสมัยนี้การแข่งขันของทุกแวดวงธุรกิจนั้นสูงมากจนแทบจะวัดความสำเร็จกันแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง หรือสำหรับวัยใกล้ทำงาน การแย่งชิงตำแหน่งงานที่สนใจหรืออันดับหนึ่งของอะไรก็ตามนั้นก็เป็นสงครามที่ไม่มีใครยอมใคร หนึ่งในตัวช่วยที่สามารถผลักดันให้องค์กร รวมไปถึงตัวเอง ได้อยู่แถวหน้าของวงการได้นั้นมีชื่อว่า Productivity วันนี้พวกเราจะพาทุกคนมารู้จักกันว่า Productivity คืออะไร มีลักษณะอย่างไร ดีต่อองค์กรและตัวเองอย่างไร และเราจะมีวิธีเพิ่ม Productivity ได้อย่างไร

Productivity จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไรบ้าง?

ผลิตภาพจะมองเรื่องความคุ้มค่าของปัจจัยด้านเวลาและต้นทุนด้วย

Productivity ขั้นกว่าของ “ประสิทธิภาพ”

             เมื่อพูดถึงคำว่า Productivity หลายคนก็จะนึกถึงคำว่า “ประสิทธิภาพ” ด้วย ซึ่งอันที่จริงแล้ว 2 สิ่งนี้มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย นั่นคือประสิทธิภาพจะมุ่งเน้นไปที่ “คุณภาพ” ของงานที่สร้างออกมาได้ เช่น งานแปลที่แปลได้สลวยสวยงาม ไม่มีคำผิด ได้ความหมายเหมือนกับต้นฉบับ นั่นคือผลงานที่ทำอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับ Productivity หรือ “ผลิตภาพ” นั้นมองเรื่อง “ความคุ้มค่า” ของปัจจัยโดยรอบด้วย ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือต้นทุนต่าง ๆ หากนักแปลคนเดิมสามารถแปลงานได้เร็วขึ้นหรือมากขึ้นต่อวัน นั่นก็คือการทำงานที่มี Productivity สูงนั่นเอง

             Productivity อาจมาในรูปแบบของการลดขั้นตอนหรือใช้เครื่องมือบางอย่างทดแทนพละกำลังและเวลาที่ต้องเสียไปก็ได้ เช่น แทนที่นักแปลจะหยิบพจนานุกรมเป็นเล่ม ๆ มาค้นหาคำที่ต้องการใช้ ก็สามารถใช้โปรแกรมแปลภาษาในคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำได้เลย

             สรุปง่าย ๆ ก็คือ Productivity คือการทำให้งานที่ออกมาเร็วขึ้น ดีขึ้น หรือทำได้มากขึ้น โดยใช้ต้นทุนเท่าเดิมหรือลดลง

Productivity ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้สูงขึ้น

Productivity ไม่ใช่แค่ทำให้องค์กรสร้างผลกำไรได้มากขึ้นเท่านั้น

             การที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งมี Productivity ที่สูงนั้นหมายความว่าองค์กรสามารถทำให้การทำงานดำเนินได้อย่างราบรื่น ซึ่งอาจรวมถึงการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นหรือลงทุนในเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้กับคนทำงานด้วย เป็นการสะท้อนว่าองค์กรมีการพัฒนาอยู่ตลอด นำไปสู่ความน่าเชื่อถือและมาตรฐานขององค์กรที่สูงขึ้น อีกทั้งองค์กรเหล่านี้มักจะมีวิสัยทัศน์และการตั้งเป้าหมายให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งช่วยสร้างแรงดึงดูดให้คนเก่ง ๆ เข้ามาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และนำไปสู่ศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วย

ไม่เพียงแค่ตัวองค์กรที่ได้ประโยชน์จาก Productivity คนทำงานก็ได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน

             อย่างแรกที่ชัดเจนเลยก็คือคนทำงานได้พัฒนาตัวเองไปด้วย การหาวิธีที่ทำให้ตัวเองทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ในความเหนื่อยเท่าเดิมหรือลดลง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทุกคนอยู่แล้ว แถมถ้ามีเวลาเหลือก็สามารถเอาไปใช้ฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ หรือใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างเต็มที่ การมี Productivity ยังทำให้คุณภาพและศักยภาพของเราสูงขึ้น มองเห็นเป้าหมายชัดเจน มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งและดึงดูดให้คนอื่น ๆ อยากร่วมงานด้วยกันกับเรา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่กำลังหางานอยู่ 

             มองในอีกแง่หนึ่ง การที่เราทำงานได้เยอะขึ้น ใช้เวลาและต้นทุนน้อยลง แปลว่าองค์กรมีเงินเหลือเยอะขึ้นหรือมีโอกาสทำกำไรเยอะขึ้น โบนัสที่องค์กรสามารถให้ได้ก็อาจจะเยอะขึ้นไปด้วย

หากพนักงานทำงานได้เยอะขึ้น ช่วยให้องค์กรมีโอกาสทำกำไรได้เยอะขึ้นไปด้วย

เพิ่ม Productivity ให้ได้ตามที่องค์กรต้องการด้วย 5 วิธีนี้

             1. ยกระดับเป้าหมายของตัวเองไปเรื่อย ๆ

             ลองพิจารณาตัวเองดูก่อนว่าเราอยากทำเรื่องไหนให้ดีขึ้นบ้าง จากนั้นจึงค่อยตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งและพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องนั้นจนกว่าจะสำเร็จ เราสามารถพัฒนาเป้าหมายทีละหลาย ๆ อย่างพร้อมกันหรือค่อย ๆ ไปทีละเรื่องก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของตัวเอง แต่พยายามตั้งเป้าหมายให้เป็นไปได้ตามที่เราไหวด้วย มิฉะนั้นจะกลายเป็นการกดดันตัวเองจนเกินไป

             2. ย้อนดูวิธีการทำงานเพื่อหาจุดที่ทำให้ดีขึ้นได้

             บางขั้นตอนของการทำงานที่เราทำจนชินอาจจะไม่จำเป็นหรือใช้เวลาน้อยกว่านั้นได้ ดังนั้น การใช้เวลาเพื่อที่จะสะท้อนวิธีการทำงานของตัวเองจึงเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้ Productivity เพิ่มขึ้นได้ อาจจะลองพิจารณาด้วยตัวเองหรือให้คนอื่นช่วยฟีดแบ็กก็ได้ ไม่เพียงแต่แง่มุมของระยะเวลาที่ใช้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การลำดับความสำคัญของงานหรือการกระจายงานก็เป็นส่วนที่นำมาพิจารณาด้วยได้เช่นกัน

             3. ปรับ Mindset ในการทำงาน

             สิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีเหมือนกันคือ Mindset ที่ส่งเสริมในการพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการให้คุณค่ากับความทุ่มเทพยายาม การโอบรับความสำเร็จและความล้มเหลว การสื่อสารเชิงบวกอย่างตรงไปตรงมา การทำงานเป็นทีม หรือแม้แต่การแบ่งปันข้อมูลความรู้ ที่สำคัญก็คือ การมองงานที่ทำอยู่เสมือนว่าเราเป็นเจ้าของมัน เพราะจะช่วยทำให้เจ้าตัวรู้สึกอยากทำให้งานดีขึ้น รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ และหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อภาพรวมขององค์กร

Mindset ที่ส่งเสริมในการพัฒนาตัวเอง จะช่วยเพิ่ม Productivity

             4. เพิ่มพูนทักษะและความรู้

             การเปิดโลกและชุดความรู้ของตัวเองให้กว้างขึ้นและลึกขึ้นนั้นจะช่วยให้เรามีไอเดียในการพัฒนาสิ่งที่ทำอยู่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเรียนรู้ไม่ได้จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการเรียนเพิ่มหรือเข้าร่วมเวิร์กชอปเท่านั้น แต่การได้ทดลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เข้าสังคมใหม่ ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือเสพสื่อที่หลากหลายก็ช่วยให้เกิดมุมมองที่แตกต่างซึ่งช่วยกระตุ้น Productivity ได้

             5. ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกบนโลกดิจิทัลมาช่วย

             ในปัจจุบันนี้ มีโปรแกรม เครื่องมือ และซอฟต์แวร์มากมายที่ช่วยทำให้การบริหารจัดการงานของเราเป็นไปได้อย่างง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการภาระงาน การสำรองข้อมูล การบริหารจัดการเวลา การวางแผน การกระจายงาน การจัดลำดับความสำคัญ และอื่น ๆ อีกหลากหลายจุดประสงค์ที่ช่วยทำให้ Productivity ในการทำงานของคุณพุ่งสูงขึ้น หลายเครื่องมือก็สามารถเข้าถึงได้ฟรี เช่น Notion, Trello, Google Suite, Miro เป็นต้น

ใช้ Jobtopgun ตามหางานที่ตอบแทนให้กับ Productivity ของคุณอย่างคุ้มค่าได้แล้ววันนี้

             ไม่ว่าจะเพิ่งเรียนจบใหม่หรือกำลังมองหางานใหม่อยู่ ค้นหางานที่คู่ควรกับระดับ Productivity ของคุณได้ที่ www.jobtopgun.com เว็บไซต์ที่รวบรวมงานในหลากหลายสายงานกว่า 5,000 ตำแหน่ง พร้อมตัวช่วยในการสร้าง resume ชั้นยอดอย่าง Super Resume ที่ฉายสปอตไลท์ไปที่จุดเด่นในตัวคุณ รวมถึงสามารถอ่านรีวิวเงินเดือน บรรยากาศการทำงาน สวัสดิการ และอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสมัครงานของคุณได้ทางเว็บไซต์ www.yousayhrsay.com 

สมัครงานกับบริษัทชั้นนำทันที สร้าง Super Resume (ใบสมัครงาน) เลย ฟรี!

คำค้นหายอดนิยม

..