จังเกิลราฟท์เปรียบดังดินแดนห่างไกลแสงสีแม้จะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก อาจเป็นเพราะการเดินทางมาถึงซึ่งต้องอาศัยเรือหางยาวเป็นหลัก ไม่มีถนนสะดวกสบายให้รถเข้าถึงโดยง่าย ทำให้ผู้มาเยือนเหมือนหลุดเข้ามาในวันเวลาเก่าๆ ที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเสียงรถยนต์ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ก็จะต้องไปกังวลถึงใครหรือถึงอะไรอีกเล่า ในเมื่อคนรู้ใจอยู่ใกล้ๆ นี่แล้ว
ค่ำคืนท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งเรไรและแผ่วเสียงน้ำไหลผ่านคือช่วงเวลาที่เราจดจำและประทับใจ แสงตะเกียงนวลที่สาวมอญนำมาวางไว้หน้าห้องนอนทุกห้องและบนโต๊ะยาวส่องไล่ความมืด บนฟ้านั้นเล่าก็ดารดาษไปด้วยดวงดาวนับร้อยนับพันแข่งกันประชันแสง เรานอนแหงนหน้ามองฟ้ายามราตรีอยู่บนชานไม้ริมน้ำพักใหญ่ ก่อนได้ยินเสียงฆ้อง กลอง รัวเป็นสัญญาณบอกว่าการแสดงระบำมอญในเรือนแพหลังท้ายสุดกำลังเริ่มต้น ระบำชุดต่างๆ ที่มีหนุ่มสาวและเด็กชาวมอญร่วมแสดงเป็นเวลาราวครึ่งชั่วโมงทำให้ค่ำคืนกลางไพรน่าประทับใจยิ่งขึ้น
 
 
เช้ารุ่งขึ้น สายหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวน้ำได้แต่งเติมให้แควน้อยดูงดงามไปอีกแบบ แพลำเล็กสำหรับลากล่องชมวิวสองฝั่งน้ำทำหน้าที่คัดท้ายและพายส่ง ทิวทัศน์สองฝั่งน้ำคือแผ่นผาสลับกับพุ่มพฤกษ์ ความจริงแล้วไม่ต่างจากภาพที่เห็นตอนลงเรือหางยาวมายังเรือนแพจังเกิลราฟท์เมื่อวันวาน ทว่าเสียงธรรมชาติที่เราได้ยินชัดเจนทั้งเสียงพายไม้ไผ่จ้วงจ่อมลงน้ำ เสียงน้ำซัดผ่านแพ เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บ เสียงแมลงเล็กๆ เจื้อยแจ้ว และเสียงหัวใจของเราต่างหาก ที่ทำให้สิ่งที่เห็นและเป็นไป ณ เวลานี้คือ ความงดงามที่น่าจดจำ

หน้า > 1 2 3