แหล่งหางานนักศึกษาจบใหม่ กับบริษัทชั้นนำทั่วประเทศ

ทำเรซูเม่ง่ายๆ
ให้ได้ที่ฝึกงานดีๆ

สร้างเรซูเม่ ฟรี
เด็กจบใหม่

ค้นหางานสำหรับฝึกงาน

ตามสายอาชีพ

ตามคณะ

pin

คุณเหมาะกับสายอาชีพไหน?

ค้นหาสายงานที่เหมาะกับตัวตนของคุณผ่าน ดนตรี กีฬา งานอดิเรก
ทักษะที่ควรมี

ทักษะความสามารถที่แต่ละสายอาชีพควรมี

สายอาชีพต่างๆ กับความสามารถที่นักศึกษาควรมี

นักศึกษาฝึกงานต้องอ่าน!

รวมเรื่องน่าสนใจในโลกการทํางานสําหรับนักศึกษาฝึกงาน
5 ข้อต้องห้ามทำหากอยากให้เรซูเม่นั้นโดดเด่นกว่าใคร
5 ข้อต้องห้ามทำหากอยากให้เรซูเม่นั้นโดดเด่นกว่าใครเพราะเรซูเม่ หรือ ใบสมัครงานนั้น ถือว่าเป็น “ประตู” ไปสู่หน้าด่านแรกของการทำงาน ดังนั้น การมีเรซูเม่ที่ดี ก็เหมือนคุณได้ผ่านด่านเข้าไปสู่ประตูถัดๆไปเพื่อไปคัดเลือกได้ลึกขึ้นแล้วนั่นเอง วันนี้จะมาไขข้อข้องใจจากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับวงการนี้มานาน สิ่งที่ต้องห้ามอย่าหาทำหากอยากให้เรซูเม่คุณโดดเด่นกว่าใครมีอะไรบ้าง 5 อย่างไปดูกันค่ะ 1. ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง  ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญกว่าใคร เพราะหากมีการกรอกข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การทำงาน ทักษะ ความสามารถทั้งด้าน ดนตรี กีฬา งานอดิเรกที่ผู้เขียนกล่าวเกินจริงว่าสามารถทำได้ต่างๆ สิ่งนี้จะส่งผลเสียอย่างมากหาก HR ตัดสินใจรับคุณเข้าทำงานแล้วอาจจะให้คุณแสดงความสามารถนั้นๆ หรือให้ทำงานเกี่ยวกับทักษะ ประสบการณ์นั้นที่คุณกล่าวมาแบบเกินจริงไปนั่นเอง ดังนั้น อย่าใส่ข้อมูลเท็จเพื่อให้ประวัติคุณดูดีเด็ดขาด 2. ประสบการณ์ที่มากเกินไป ไม่ต้องร่ายยาวโดยเอาประวัติการทำงาน หรือประวัติกิจกรรมที่เคยร่วม ข้อมูลการศึกษาที่ขุดมาตั้งแต่สมัยประถม หรือมัธยมมา HR ไม่ได้พิจารณาสิ่งเหล่านั้น และอีกอย่างรับรองว่า HR จะไม่เสียเวลาไปกับข้อมูลนั้น อีกอย่าง ข้อมูลเหล่านั้นอาจจะทำให้เรซูเม่ของคุณมีพื้นที่เต็มโดยใช่เหตุเนื่องจากใส่ข้อมูลเหล่านี้ไป 3. เงินเดือนเก่าและเหตุผล อีกสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องใส่เงินเดือนเก่าและเหตุผลในการลาออกจากที่เก่า เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถระบุให้เห็นได้เมื่อเข้ามาสัมภาษณ์กับ HR นั่นเอง และยังเป็นสิ่งที่ผู้สมัครต้องเรียบเรียงให้ดีเพื่อตอบคำถามเมื่อสัมภาษณ์งานในกรณีที่คุณมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนแล้วนั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องใส่เข้าไป เก็บเอาไว้เล่าเองจะดูมืออาชีพมากกว่า 4. ไฟล์เรซูเม่ที่ไม่ Professional  สิ่งที่จะบ่งบอกถึงความไม่เป็นมืออาชีพก็คือ การใช้ไฟล์เรซูเม่ไม่มาตรฐาน เช่น ส่งไฟล์เรซูเม่เป็นไฟล์ .doc โอกาสในการเปิดอ่านแล้วแบบฟอร์มคลาดเคลื่อนนั้นมีอยู่สูง รวมไปถึงไฟล์ที่มีความละเอียด แต่เหมาะกับงานด้านกราฟิคมากกว่า เช่น .ai .psd แต่มีโอกาสที่เปิดไฟล์มาแล้วอ่านไม่ได้ ดังนั้น นามสกุลไฟล์ที่แนะนำได้แก่ .pdf, jpg เป็นต้นและขนาดไม่ควรเกิน 2MB หากไฟล์ใหญ่อาจโหลดล่าช้าหรือ HR อาจโหลดไม่ได้เลย 5. รูปถ่าย Resume ไม่มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายที่เป็นรูปแฟชั่น รูปที่ใช้ใน Instagram Facebook ทำท่าทางต่างๆ ชูสองนิ้ว หรือพื้นหลังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือรูปที่ถ่ายหมู่ ถ่ายคู่ ห้ามเด็ดขาด เพราะบางที HR จะเห็นภาพถ่ายติด Resume ของคุณเป็นด่านแรกๆเลย จึงทำให้ HR มีสิทธิ์ปัดตกโดยไวหากรูปไม่ Professional พอนั่นเอง รูปที่เหมาะสมนั้นคือรูปถ่ายที่อยู่ในชุดพร้อมทำงาน อาจจะมีสูททับเพื่อเพิ่มความเป็นมือ และมีพื้นหลังเป็นฉากเหมือนถ่ายรูปติดบัตร พร้อมกับเสื้อผ้า หน้า ผมที่ดูดี เรียบร้อยนั่นเอง ทั้ง 5 classic mistakes นี้ก็เป็นข้อต้องห้ามอย่าหาทำจำไว้นะคะหากอยากให้เรซูเม่ของเราสะดุดตามากกว่าใครให้รีบเลี่ยง รับรองว่าผลลัพธ์ที่ตามมานั้นคุ้มค่า เรซูเม่สะดุดตาโดดเด่นกว่าใครแน่นอนค่ะ
เหตุผลที่นักศึกษาควรฝึกงานสักครั้งก่อนเริ่มต้นทำงาน
เหตุผลที่นักศึกษาควรฝึกงานสักครั้งก่อนเริ่มต้นทำงานการฝึกงานถือเป็นใบเบิกทางในโลกการทำงานของนักศึกษาที่พึ่งเรียนจบ บางคนอาจจะเรียนจบแล้วเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว หรือบางคนอาจจะกำลังมองหางานทำภายในบริษัท ไม่ว่าคุณจะทำงานแบบไหน การฝึกงานก็จะเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้ และเริ่มต้นสร้างโปรไฟล์ของคุณให้โดดเด่นกว่าผู้สมัครงานอื่น ๆ • ทดสอบความสามารถตนเอง การฝึกงานถือเป็นหนึ่งในสนามแข่งที่คุณสามารถทดสอบความสามารถและความรู้ของคุณได้อย่างแท้จริง ว่าคุณจะเก่งแค่ในสนามซ้อมหรือเก่งในสนามจริงด้วย เพราะมีหลายคนที่เรียนจบมาแล้วได้รับเกียรตินิยม แต่กลับทำงานไม่เป็นก็มีเยอะแยะ ดังนั้นการที่คุณได้ฝึกงานก่อน ก็เหมือนได้เรียนรู้และฝึกประสบการณ์ทำงานจริงของตนเองก่อนคนอื่น หากคุณยังรู้สึกว่าตนเองยังเก่งไม่พอ ก็จะได้รู้ตัวแล้วรีบเรียนรู้สะสมประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็ว • ค้นหาตนเอง เชื่อว่าใครหลายคนหลังจากเรียนจบ มักจะอยากสมัครงานในสายอาชีพที่ตรงกับคณะที่เรียนจบมา แต่เมื่อได้ทดลองทำงานตามสายอาชีพจริง ๆ กลับไม่ชอบและรู้สึกว่าไม่ตรงกับความต้องการของตนเอง ดังนั้นการฝึกงานก่อนเริ่มต้นทำงาน จะช่วยให้คุณสามารถค้นหาตัวตน ความชอบของคุณจริง ๆ ว่าแท้จริงแล้วคุณชอบสายอาชีพที่คุณเรียนจบมาจริง ๆ หรือไม่ อีกทั้งยังช่วยให้คุณไม่เสียเวลาที่จะต้องเปลี่ยนสายงานในอนาคตอีกด้วย • Resume น่าสนใจยิ่งขึ้น นักศึกษาที่พึ่งเรียนจบส่วนใหญ่จะยังไม่มีประสบการณ์ทำงาน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่สมัครงาน ฝ่ายบุคคลของบริษัทที่มีหน้าที่คัดกรองผู้สมัครงาน จะวัดและตัดสินคุณจากประวัติของคุณในเรซูเม่ ว่าเคยฝึกงานมาก่อนหรือไม่ หากเคยฝึกงานมาก่อนจะมีเครดิตที่ดีกว่าคนที่ยังไม่เคยฝึก เพราะฝ่ายบุคคลจะมองว่าคุณเคยผ่านประสบการณ์ภายในองค์กรมาแล้วบ้าง ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยทำงานจริง แต่ก็เคยเรียนรู้ระบบการทำงานภายในองค์กรมาแล้ว • สร้างคอนเนกชันต่อยอดในอนาคต คุณไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ปัจจุบันในบางบริษัท การที่คุณจะสมัครเข้าทำงานภายในองค์กรชื่อดังหลายๆองค์กร คุณต้องมีบุคคลอ้างอิงถึงตัวคุณให้ฝ่ายบุคคลรู้สึกสนใจด้วย เพราะฉะนั้นการฝึกงาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างคอนเนกชันของคุณเอง ช่วยให้มีคนที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่นะในอนาคต หัวหน้าหรือรุ่นพี่ที่ฝึกงานอาจจะช่วยเป็นบุคคลอ้างอิงให้คุณได้รับงานในอนาคตก็เป็นได้                   เป็นอย่างไรกันบ้างกับประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการฝึกงาน รู้แบบนี้แล้วอย่าพลาดโอกาสที่จะสมัครเข้าฝึกงานตามบริษัทหรือองค์กรใหญ่ ๆกันด้วยละ ไม่แน่นะ หากคุณตั้งใจฝึกงานจนเป็นที่ยอมรับ และได้รับความไว้วางใจจากรุ่นพี่หรือหัวหน้าที่ประเมินคุณ บางครั้งเขาอาจจะเสนอตำแหน่งงานประจำภายในบริษัทให้คุณ โดยไม่จำเป็นต้องยื่นสมัครงานแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นก็เป็นได้
เขียน เรซูเม่ ยังไงให้ปัง ฉบับเด็กจบใหม่
เขียน เรซูเม่ ยังไงให้ปัง ฉบับเด็กจบใหม่เรียกว่าเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในการสมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังจะเปลี่ยนงานหรือเหล่าบัณฑิตจบใหม่ที่ต้องใช้ยื่นนำเสนอตัวเองในการสมัครงานที่หวังไว้ สำหรับ “เรซูเม่” (Resume) หรือประวัติส่วนตัวที่สรุปคุณสมบัติ ความสามารถ และประสบการณ์การทำงานของผู้สมัครงานอย่างกระชับ ซึ่งการเขียนเรซูเม่ให้โดดเด่นโดนใจฝ่ายบุคคลก็ไม่ใช่เพียงแค่การเขียนให้สั้นเข้าไว้เท่านั้น แต่ยังมีเทคนิคและเคล็ดลับสร้างเรซูเม่ให้ “ปัง” เพื่อให้มีโอกาสได้รับเลือกเข้าทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะเด็ก ๆ จบใหม่ที่กำลังต้องเขียนเรซูเม่แรกของตัวเอง เรารวบรวมวิธี “เขียน ‘เรซูเม่’ ยังไงให้ปัง ฉบับเด็กจบใหม่” มาให้ไว้ที่นี่แล้ว เด็กจบใหม่ควรนำเสนอตัวเองผ่านเรซูเม่อย่างไรให้ได้งาน Resume คืออะไร แตกต่างกับ CV ขนาดไหน? ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่า “เรซูเม่” (Resume) คือ เอกสารที่สรุปประวัติส่วนตัวโดยย่อ ทั้งการศึกษา การทำงาน ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ต่าง ๆ และสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาเพื่อให้เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องการสมัคร เพื่อนำเสนอตัวตนให้คนอื่น (ฝ่ายบุคคล) ได้ทำความรู้จักได้ภายใน 1-2 หน้ากระดาษ ซึ่งมีความแตกต่างกับ “CV” หรือ Curriculum Vitae ที่หมายถึง เอกสารประวัติที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการศึกษา ความสามารถ ประสบการณ์ทำงาน รางวัลและความสำเร็จต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านวิชาการ เช่น งานวิจัย การแข่งขันต่าง ๆ ทั้งนี้ วิธีการเขียนมักจะบรรยายไปตามช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตอย่างละเอียด สมกับมาจากรากศัพท์ภาษาละตินที่แปลว่า เรื่องราวชีวิต (หรือชีวประวัติ) และสามารถเขียนได้เต็มที่มากกว่า 2 หน้ากระดาษขึ้นไป และไม่มีการจำกัดความยาวของหน้าเหมือนเรซูเม่สำหรับการสมัครงานโดยทั่วไปในประเทศไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จะนิยมใช้เรซูเม่มากกว่า CV ที่เน้นใช้กับการยื่นสมัครงานทางด้านวิชาการ งานวิจัย หรือเพื่อใช้ในการศึกษาต่อและการสอบแข่งขันในด้านต่าง ๆ ที่ต้องการข้อมูลและรายละเอียดที่บ่งบอกทัศนคติและพฤติกรรมของบุคคลนั้น ๆ แบบเจาะลึก 7 เทคนิควิธีเขียน Resume ให้ “ปัง” แบบโดดเด่น โดนใจ ได้งาน เด็กจบใหม่ที่กำลังเริ่มต้นสร้างเรซูเม่ของตัวเองกันอยู่ในตอนนี้ ลองนำ 7 เทคนิควิธีเขียน Resume ให้ออกมาสุดปัง แบบที่เรียกว่า โดดเด่น โดนใจ ได้งานชัวร์ ที่เรารวบรวมมาให้ไปใช้กันดู 1) สั้นกระชับครบจบใน 1 หน้า สำหรับบัณฑิตจบใหม่ควรเขียนเรซูเม่ให้สั้น กระชับ ขัดเจน ครบจบใน 1 หน้า กระดาษ (A4) ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเอกสารหรือไฟล์ดิจิตอล โดยเน้นข้อมูลที่จำเป็นและมีประโยชน์ โดยเฉพาะทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ และความสำเร็จที่เกี่ยวข้องกับงานที่กำลังจะสมัคร เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาคัดเลือกของฝ่ายบุคคลที่อาจไม่มีเวลาในการอ่านประวัติผู้สมัครงานมากนัก (แต่ถ้ารายละเอียดเยอะจริงๆ ก็ควรอยู่ในความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ) 2) นำเสนอตัวตนให้น่าสนใจ การเขียนนำเสนอตัวตนให้โดดเด่นน่าสนใจ โดยเน้นที่เนื้อหาหลัก ๆ ที่เกี่ยวกับทักษะและความสามารถพิเศษ รวมไปถึงทัศนคติที่แสดงถึงความถนัดและตัวตนของเราได้ดียิ่งขึ้น ลองใช้การเน้นหรือสรุปข้อความไว้บนสุดของเรซูเม่และเน้นข้อความให้เห็นชัดเจน (แต่ไม่ยาวเกินไป ควรอยู่ที่ประมาณ 3-5 บรรทัด) หรือเลือกใช้เทมเพลตที่มีการแบ่งสัดส่วนในหน้ากระดาษดี ๆ เพื่อให้ข้อความสำคัญของเราชัดเจนเห็นง่ายขึ้นไปอีก 3) ดึงดูดใจด้วยความสามารถพิเศษ (ที่ทำได้จริง) พยายามใส่ข้อมูลเกี่ยวกับทักษะหรือความสามารถพิเศษที่เรามี นอกเหนือไปจากความรู้และวุฒิการศึกษา อาทิ ทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านการบัญชี ทักษะด้านไอที ทักษะด้านการสื่อสาร เป็นต้น ที่สำคัญต้องเป็นทักษะความสามารถที่เราทำได้จริงเท่านั้น เพราะการโกหกตั้งแต่ยื่นใบสมัครย่อมไม่ส่งผลดีตามมา หากเราได้งานนั้นจริง ๆ 4) เพิ่มทักษะที่จำเป็นในยุคนี้ ในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแบบนี้ การเพิ่มทักษะความสามารถที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิตอลและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็จะช่วยให้เรามีแต้มต่อมากขึ้น เพราะแทบทุกสายงานในองค์กรส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ต่างกัน นอกจากนี้ ลองเพิ่มเติมข้อมูลด้วยทักษะ Soft Skills ที่เกี่ยวกับลักษณะนิสัยและทักษะการอยู่ร่วมกับสังคม เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ ความเป็นผู้นำ ทักษะการบริหาร การทำงานเป็นทีม และความสามารถในการยืดหยุ่นและปรับตัว ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่หลากหลายองค์กรชั้นนำมองหา 5) เน้นความสำเร็จที่ผ่านมา นอกจากทักษะความสามารถต่างๆ แล้ว ข้อมูลที่ควรมีเพิ่มความน่าสนใจคือ กิจกรรม รางวัล และความสำเร็จที่ผ่านมา เพราะนี่คือสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการทำงานในชีวิตจริงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีประโยชน์ ประสบการณ์การฝึกงาน การเข้าอบรมคอร์สต่างๆ รางวัลและประกาศนียบัตรที่เคยได้รับ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้เรซูเม่ของเราโดดเด่นขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย 6) รูปแบบเรซูเม่คือสิ่งสำคัญ แม้จะดูเป็นเรื่องของสไตล์ส่วนตัว แต่การเลือกรูปแบบและสีสันของเรซูเม่ก็ส่งผลต่อการได้งานมากกว่าที่คิด เรซูเม่ที่ดีควรอ่านง่าย สบายตา เน้นให้เข้าถึงข้อมูลชัดเจน โดยใช้สีสันเรียบๆ เน้นสีขาว ดำ หรือเทา เพื่อให้ดูสุภาพและเป็นทางการ การใช้สีฉูดฉาดหรือเล่นสีมากเกินไปจะทำให้กวนสายตาและอาจถูกปัดตกไปอย่างน่าเสียดาย 7) ใช้ภาษาเป็นทางการและอย่าลืมตรวจคำผิด สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และไม่ใช่ความบกพร่องเล็กน้อยที่จะมองข้ามได้คือ การใช้ภาษาเป็นทางการ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และไม่ควรมีคำผิดหรือตกหล่น เพราะเราซูเม่เปรียบได้กับตัวแทนของเราโดยตรง นอกจากนี้ อย่าลืมตรวจทานข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อ-สกุลที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ ให้ถูกต้องทุกจุด เพื่อไม่ให้เราต้องพลาดงานที่ฝันไว้ไปเพราะฝ่ายรับสมัครงานไม่สามารถติดต่อได้นั่นเอง เขียนเรซูเม่สุดปังเสร็จแล้วก็ไปค้นหางานที่ใช่ในหลากหลายสาขาอาชีพได้ที่ www.jobtopgun.com หรือจะไปอ่านรีวิวบริษัทชั้นนำต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงเรซูเม่ของเราให้เหมาะสมยิ่งขึ้นได้ที่ www.yousayhrsay.com
เทคนิคตอบคำถามสมัครงานอย่างไรให้ได้ใจ HR
เทคนิคตอบคำถามสมัครงานอย่างไรให้ได้ใจ HRเชื่อว่าหลายๆคนที่ๆกำลังจะสมัครงาน สิ่งที่เป็นหนึ่งในความกังวลใจของผู้สมัครงานไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่หรือจะเป็นคนที่มีประสบการณ์มาแล้วก็ตามก็คือ “การตอบคำถามสัมภาษณ์งาน” เพราะไม่ว่าจะตอบคำถามแบบไหน ก็ล้วนแสดงถึงทัศนคติ ความคิดของผู้สมัครได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ควรตอบให้เป็นตัวเองให้มากที่สุด ส่วนเทคนิคการตอบคำถามจะมีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ 1.แนะนำตัวเองสั้นๆ                 เทคนิคการแนะนำตัวที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่หรือคนมีประสบการณ์ก็อาจจะมีประหม่าและยังไม่รู้ว่าควรจะเน้นส่วนไหนถึงจะโดนใจ HR ดี สำหรับคำถามนี้ ต้องตั้งสติให้ดีและรวบรวมคำตอบภายใน 2-3 นาทีที่จะตอบแบบกระชับ ได้ใจความ ว่าเราเป็นใคร หรือจบคณะ มหาวิทยาลัยไหน หากไม่มีประสบการณ์ทำงานสามารถพูดถึงกิจกรรมที่เคยทำ หรือการฝึกงานได้ หากเคยมีประสบการณ์การทำงานควรแนะนำว่าทำงานมาแล้วที่ไหนอย่างไรบ้าง และพยายามแสดงจุดแข็ง หรือความสำเร็จของคุณออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อทำให้ฝ่ายบุคคลรู้จักคุณภายในระเวลาสั้นๆนั่นเอง 2.ทำไมถึงอยากมาทำงานกับเรา                 อีกคำถามที่ต้องเจอ เพราะเป็นอะไรที่เราสามารถทำการบ้านมาก่อนได้ และควรทำการบ้านมาอย่างดี เพราะเป็นโอกาสที่ดีในการพรีเซนท์ว่าตัวเองได้ไปศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแค่ไหน ควรจะพูดเกี่ยวกับทั้งข้อมูลจริงของบริษัท ศึกษาผลิตภัณฑ์หรือความสำเร็จของบริษัทที่เด่นๆแล้วบอกกับฝ่ายบุคคลเลยว่า เหตุผลที่มาสมัครเข้าทำงานก็เพราะได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับบริษัทนี้อย่างไรควรแจกแจงไปด้วย 3.จุดแข็งและจุดอ่อนของคุณคืออะไร                 บอกเลยว่าจุดแข็ง เปรียบเสมือนจุดขายของเรา ดังนั้น เราควรจะหาจุดแข็งที่เรามั่นใจว่าเราเด่นที่สุด และถ้าจะให้ดีควรเป็นจุดแข็งที่พอจะสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่กำลังสมัคร เช่น หากสมัครตำแหน่ง Marketing ก็ควรจะมีคุณสมบัติคือ เป็นคนชอบแข่งขัน หรือสมัครตำแหน่งผู้จัดการ ก็ควรมีความเป็นผู้นำ เป็นต้น ส่วนจุดอ่อนนั้น ควรเป็นสิ่งที่เรากำลังจะปรับปรุงและผลของการปรับปรุงด้วย เพื่อให้เห็นว่าเราไม่ได้มองว่ามันเป็นจุดอ่อน แต่เป็นสิ่งน่าท้าทายที่ควรจะพัฒนาต่อไปนั่นเอง 4.ทำไมต้องเลือกคุณ                 จุดนี้ ต้องพยายามสื่อสารถึง “ทักษะ ประสบการณ์และความสามารถ” ที่ทำให้เราแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ จนทำให้ฝ่ายบุคคลเลือกคุณเข้าทำงาน ทั้งนี้ ต้องเป็นการเน้นสิ่งเหล่านั้นตามพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ควรนำเสนอในมุมที่ไปพาดพิงบุคคลที่ 3 หรือดูก้าวร้าวจนเกินไป นอกจากนี้ หากยกมาลอยๆก็คงจะไม่พอ ควรจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมเข้ามาด้วยเพื่อทำให้คำตอบดูน่าเชื่อถือมากขึ้น 5.คุณรับมือกับความกดดันความเครียดอย่างไร                 หลายๆคนที่เจอคำถามนี้ เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่ฝ่ายบุคคลอยากรู้ว่าคุณจะรับมือกับความเครียดที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อเข้ามาร่วมงานจริง เมื่อเจอคำถามนี้ควรจะเล่าโดยเรียงลำดับจากการยกเหตุการณ์ที่เราเจอจริงๆตามมาด้วย วิธีการจัดการปัญหา และปิดท้ายด้วยผลลัพธ์จากที่เราแก้ปัญหาไปแบบนั้นด้วย จุดนี้ควรอย่าลืมว่าเราควรแสดงให้เห็นว่าเรายังสามารถรับมือกับความเครียดได้และทำงานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง                 ทั้ง 5 เทคนิคการตอบคำถามสมัครงานที่นำมาฝากผู้สมัครงานทุกคน ลองนำไปปรับใช้อาจเริ่มจากการเขียนร่างออกมาก่อน และลองซ้อมกับตัวเอง อัดเสียง และนำมาปรับปรุงก่อนวันสัมภาษณ์จริงเพื่อความเป็นมืออาชีพในวันสัมภาษณ์จริง รับรองโอกาสการได้งานเพิ่มขึ้นเท่าตัวแน่นอน
5 สุดยอดเช็คลิสต์เด็กจบใหม่ หางานอย่างไรให้ได้งานชัวร์!
5 สุดยอดเช็คลิสต์เด็กจบใหม่ หางานอย่างไรให้ได้งานชัวร์!ด้วยสถานการณ์ทั้งทางสังคม ทั้งโรคระบาดต่างๆที่อาจจะทำให้ใครหลายๆคนที่เป็นเด็กจบใหม่มีความหวั่นใจ อาจเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าจบมาแล้วจะเริ่มต้นหางานอย่างไรดี เพราะประสบการณ์ก็ยังไม่มี ไม่ต้องกังวลต่อไปแล้ว เพราะบทความนี้จะแจก 5 เช็คลิสต์การหางานอย่างไรให้ได้งานชัวร์ ตามนี้เลยค่ะ 1.สำรวจ Passion ตัวเอง                 อย่างแรกก่อนที่จะหางาน ต้องสำรวจ Passion หรือความสนใจของตัวเองก่อนว่า ความสามารถและประสบการณ์ที่คุณมีนั้นสามารถต่อยอดไปได้ในตำแหน่งงานแบบไหนบ้าง คุณชอบงานแบบไหน อยากอยู่ในองค์กรระดับเล็กหรือใหญ่ สนใจงานประเภทที่ต้องออกไปพบผู้คนเยอะๆ ชอบงานหลังบ้านที่ไม่ต้องออกไปพบปะผู้คนมากนัก และต้องมีการพิจารณาเงินเดือนอีกด้วย และลองไปสำรวจช่องทางหางานต่างๆ เช่น เว็บไซต์หางานออนไลน์ ประกาศงานในช่องทาง Social media ต่างๆเป็นต้น 2.Resume ต้องปัง                 ด่านนี้ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะพาเราไปถึงเส้นชัยได้ไวขึ้น เด็กจบใหม่หรือนักศึกษาปีสุดท้ายสามารถเริ่มทำขั้นตอนนี้เพื่อเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆได้เลย เพราะเรซูเม่ที่ใช้สมัครงานควรเป็นช่องทางที่เพิ่มโอกาสได้งานที่แท้จริง เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่จะบอกความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะความเชี่ยวชาญว่าเราเคยทำอะไรมาก่อน หรือมีจุดแข็งอะไรที่ทำให้คุณโดดเด่นจนเข้าตากรรมการนั่นเอง โดยควรเลือกทำเรซูเม่ที่มีรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับเช่น Super Resume นั่นเอง 3.ทำความรู้จักองค์กร                 เรียกได้ว่าข้อนี้มีเด็กจบใหม่หลายๆคนที่พลาดไป เพราะเมื่อไปสัมภาษณ์แล้ว บางคนตอบไม่ได้ว่าองค์กรมีผลิตภัณฑ์ หรือบริการอะไร วัฒนธรรมองค์กร หรือทำความเข้าใจกับวิสัยทัศน์ขององค์กร หากเราทำความเข้าใจกับองค์กรโดยศึกษาจากช่องทางเว็บไซต์บริษัท หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เรากำลังจะสมัครงานนั้นๆ เพื่อจะแสดงว่าเราศึกษาและเข้าใจองค์กรมาเป็นอย่างดีและโอกาสงานก็จะมีเพิ่มขึ้นได้ 4.First impression ต้องดูดี                 หากอยากให้ฝ่ายบุคคลประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาสัมภาษณ์ ต้องแสดงความให้เกียรติองค์กรด้วยการรแต่งกายให้สุภาพในวันสัมภาษณ์ไม่ว่าจะไปที่บริษัทเองหรือสัมภาษณ์ออนไลน์ก็ตาม ถึงแม้ว่าเป็นนักศึกษาจบใหม่ ชุดที่ควรจะแต่งกายมาสัมภาษณ์ก็ควรเป็นชุดที่สุภาพ หรือหากมีสูทหรือเบลเซอร์ทับอีกทีก็จะความเป็นมืออาชีพให้มากขึ้นได้นั่นเอง 5.กำหนดเป้าหมายในการทำงาน                 เมื่อเราเจอบริษัทที่อยากทำงานแล้วนั้น เราต้องวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการทำงานของตนเอง เช่น คิดว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหากอยู่ในองค์กร เราจะอยู่จุดไหน ตำแหน่งงานที่เข้ามาเริ่มทำงานและตำแหน่งงานที่จะโตไปเป็นไปในทิศทางไหนได้นั่นเอง ทั้ง 5 เช็คลิสต์นี้เด็กจบใหม่ต้องรีบเช็คให้ไว หากมีครบทั้ง 5 ข้อนี้แล้ว การหางานก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กจบใหม่เลยค่ะ
5 เคล็ดลับทำให้ผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรให้เจ้านายรัก
5 เคล็ดลับทำให้ผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรให้เจ้านายรักหากคุณเป็นนักศึกษาจบใหม่ หรือคนทำงานที่เพิ่งจะเปลี่ยนงานและกำลังอยู่ช่วงเวลา “ทดลองงาน” ซึ่งโดยปกติแล้ว บริษัทหลายๆที่จะมีเกณฑ์การผ่านโปรในระยะเวลาประมาณ​ 3-4 เดือน และหากคุณกำลังมองหาวิธีผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรให้เจ้านายรัก ตามมาอัพเดตในบทความนี้ได้เลยค่ะ มาทำช่วงเวลาทองนี้ให้เป็นเวลาสำคัญที่จะทำให้เจ้านายตัดสินใจจ้างหลังจากพ้นช่วง Probation กันเถอะ 1.แสดงศักยภาพเต็มที่                 สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องทำความเข้าใจกับรายละเอียดงานของเราที่ได้รับมอบหมายอย่างถ่องแท้ ทำงานของตัวเองออกมาให้ดีที่สุด แสดงศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่และอย่าลืมพัฒนาฝีมือของตนเองเสมอโดยการถาม feedback จากเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนำมาปรับปรุงเนื้องานของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น 2.ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน                 การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนในการผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นการสร้างแรงจูงใจและเป็นการกระตุ้นให้เรามีความมุ่งมั่นในการผ่านโปรให้ได้และผ่านโปรได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย กล่าวคือ การตั้งใจที่จะผ่านโปรจะทำให้การทดลองงานมีวิธีการไปถึงความสำเร็จได้ไวขึ้น 3.สร้าง First Impression ที่ดี                 เรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการสร้าง First Impression เป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งในการทำให้เจ้านาย และเพื่อนร่วมงานประทับใจทั้งในเรื่องของบุคลิคภาพ การแต่งตัวต้องเรียบร้อยเหมาะสม และเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆของบริษัทต้องรักษาให้ดี เช่น กฎการขาด ลา มาสายที่ไม่ควรจะละเลย ควรมีเหตุผลที่เหมาะสมมากพออีกด้วย 4.โชว์ศักยภาพให้ผู้อื่นเห็น                 นอกจากนี้ หากเรารับผิดชอบงานของตัวเองได้ดีแล้ว เราอาจจะสร้างโอกาสให้ตัวเองได้แสดงศักยภาพให้ผู้อื่นได้เห็นด้วยเช่นกันด้วยการอาสาช่วยงานของเพื่อนร่วมงานแต่อยู่ในขอบเขตความสามารถขของตนเอง เพื่อที่จะแสดงจุดแข็งของเราให้เพื่อนร่วมงานและเจ้านายได้เห็น 5.เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร                 เพราะนอกจากจะทำงานเก่งแล้ว หากอยากผ่านโปรแบบเจ้านายปลื้มเป็นพิเศษนั้น ห้ามพลาดที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรนั้นๆด้วย เหตุผลก็คือ หากผ่านโปรไปแล้ว การทำงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่งจำเป็นจะต้องมีความอินกับวัฒนธรรมองค์กรหากต้องการจะเติบโตไปยาวๆ คนที่เข้ากับวัฒนธรรมนั้นย่อมมีแนวโน้มจะโตได้ไวมากกว่า                 ทั้ง 5 เคล็ดลับนี้ก็จะเป็นเคล็ดลับการผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพที่ไม่ว่าใครที่กำลังอยู่ในช่วงทดลองงานควรจะลองทำตาม เพื่อการผ่านโปรได้อย่างราบรื่นและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง
เช็คให้ไว! ทำไมส่งเรซูเม่สมัครงานไปแต่ไม่ผ่านสักที
เช็คให้ไว! ทำไมส่งเรซูเม่สมัครงานไปแต่ไม่ผ่านสักทีใครๆอาจจะเคยมีปัญหากับการส่งใบสมัครงานหรือ Resume และอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ได้รับการติดต่อมาสักที ไม่ว่าจะส่งไปสมัครที่ไหน เรซูเม่ก็ถูกตีกลับทุกที อย่าเพิ่งท้อใจไปค่ะ ลองกลับมารีเช็คตัวเองด้วยข้อผิดพลาดเหล่านี้ที่บอกเลยว่าไม่ควรมองข้ามถ้าอยากสมัครงานแล้วมีโอกาสในการถูกเรียกสัมภาษณ์มากขึ้น 1.นำเสนอข้อมูลได้ไม่ครบถ้วน                 หากในเรซูเม่มีการใส่ข้อมูลที่จะนำเสนอจุดเด่นของตัวผู้สมัครได้ไม่ครบถ้วน ก็อาจทำให้ผู้สมัครคนดังกล่าวนั้นไม่มีจุดเด่น หรือจุดที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์สนใจที่จะร่วมงานกับคุณมากขึ้นกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ เพราะอย่าลืมว่าหากเราจบมาจากมหาวิทยาลัยดี เกรดดี แต่ก็อาจมีคนที่มีเกณฑ์แบบเดียวกับเรา ดังนั้นเราต้องสร้างจุดเด่นโดยการนำเสนอตัวตน โดยเฉพาะจุดแข็งออกมาผ่านเรซูเม่ที่สามารถนำเสนอจุดนี้ได้ 2.นำเสนอข้อมูลเท็จ                 เนื่องจากการนำเสนอตัวตนให้เด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ควรทำให้ถูกต้อง โดยการไม่นำเสนอข้อมูลเท็จ โอ้อวดความสามารถ ทักษะภาษา ทักษะคอมพิวเตอร์ หรือประสบการณ์ต่างๆที่เราไม่มีมีจริงๆเพื่อให้เรียกเงินเดือนได้สูงขึ้น แต่นั้นจะเป็นดาบที่กลับมาแทงเรา หากผู้สัมภาษณ์ตรวจสอบขึ้นมาก็อาจเป็นเหตุที่ทำให้เราสมัครงานไปไม่ผ่านสักทีนั่นเอง 3.ข้อผิดพลาดของผู้สมัคร                 บางทีการที่ไม่มีบริษัทไหนติดต่อมา เนื่องมาจากการให้ข้อมูลติดต่อที่ผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นอีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือ ไอดีของแอพพลิเคชั่นในการติตต่อต่างๆ ดังนั้น ต้องตรวจสอบโดยละเอียด หรือจะเป็นจะต้องให้ช่องทางการติดต่อสำรองไป และหมั่นเช็คอีเมลทั้งกล่องข้อความปกติ และกล่อง Junk mail  ที่บางทีอาจมีโอกาสงานดีๆที่ตกหล่นไป 4.รูปภาพในเรซูเม่                 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเปรียบเหมือนเป็น First Impression ที่ผู้สัมภาษณ์จะได้คัดกรองเป็นด่านแรก เนื่องจาก HR ต้องการคนที่มีความพร้อมในการทำงานมากที่สุด ดังนั้น รูปภาพที่จะเพิ่มโอกาสในการเรียกสัมภาษณ์งานก็คือ รูปภาพที่สุภาพ ควรเป็นภาพที่ใส่ชุดพร้อมทำงาน ไม่ควรเป็นภาพที่ใส่ชุดนิสิตหรือนักศึกษา รวมไปถึงรูปเซลฟี่ รูปตาม Social Media ต่างๆ และรูปหมู่ที่แทบจะมองหาคนสมัครไม่เจอ 5.ส่งใบสมัครงานไม่ตรงสาย                 ผู้สมัครบางคนที่อาจจะอยากเพิ่มโอกาสในการได้งานให้ตัวเองมากๆ จึงหว่านใบสมัครงานโดยไม่ได้ดูว่างานที่สมัครนั้นตรงสายตัวเองหรือไม่ เช่น เรียนสายธุรการ แต่ไปสมัครงานข้ามสายไปวิศวกร เป็นต้น ดังนั้น นอกจากจะต้องดูรายละเอียดของงานแล้วว่าไม่ได้ข้ามสายเกินไป เพราะ HR ก็จะมองว่าผู้สมัครไม่มีความละเอียดรอบคอบในการส่งใบสมัครอีกด้วย                 ทั้ง 5 จุดนี้ ก็เป็นจุดที่บางทีการส่งเรซูเม่สมัครงานไปแล้วผู้สมัครยังไม่ได้รับการติดต่อสัมภาษณ์งานไปสักที ดังนั้น ต้องเช็คให้ไว หากผิดตรงไหนจะได้แก้ไขให้ทัน
5 วิชาที่เด็กจบใหม่ ควรรีบทำให้ไวถ้าอยากผ่านโปร
5 วิชาที่เด็กจบใหม่ ควรรีบทำให้ไวถ้าอยากผ่านโปรหากคุณคือเด็กจบใหม่ที่เพิ่งมีโอกาสได้เข้าไปทำงานกับบริษัทเป็นช่วงแรกๆอาจจะได้ยินฝ่ายบุคคลแจ้งไว้ว่า คุณต้องผ่านการทดลองงาน 3 เดือน หากผ่านแล้วค่อยเซ็นสัญญาเป็นพนักงานประจำ ถ้าเจอเหตุการณ์นี้ สิ่งที่เด็กจบใหม่ต้องรีบทำก็คือ ต้องกระตือรือร้นที่จะหาวิธีที่จะทำให้คุณผ่านโปรได้อย่างไวขึ้น จะมีทริคอะไรไปดูกันค่ะ 1. พิสูจน์ฝีมือเต็มที่ ในการทำงานแรกๆ เราต้องพิสูจน์ฝีมือเราให้เต็มที่ โดยการตั้งใจทำงาน ส่งตรงเวลา และในการทำงานหากมีข้อสงสัยต้องรีบถามหัวหน้างานก่อนที่จะทำ เพราะหากทำพลาดไปชิ้นงานอาจเสียหายได้เช่นกัน นอกจากนี้ ต้องตรวจทานทุกครั้งก่อนเสร็จเพื่อเช็คว่าไม่มีอะไรผิดพลาดจนเจ้านายไว้วางใจ 2. เปิดใจเรียนรู้ การเปิดใจในที่นี้คือ การเปิดใจเรียนรู้ทั้งเรื่องงาน และเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งค่อยๆ blend in กับองค์กรโดยการสังเกตเพื่อนร่วมงาน พยายามเข้าร่วมกิจกรรมขององค์กรที่จัดมาให้ทุกครั้งถ้าเป็นไปได้ และอย่าคิดว่างานจะยากเกินไป หรือทำไม่ได้ ให้คิดว่าเป็นความท้าทายที่ต้องทำให้ได้จะดีกว่า 3. พัฒนาตัวเองตลอด อย่าหยุดพัฒนาตนเองโดยการเสริมเติมทักษะทางด้านเทคโนโลยี อาจจะเป็นการไปเทคคอร์สเรียนโปรแกรมต่างๆ หรือศึกษาการใช้งานของโปรแกรมไอทีที่กำลังเป็นที่นิยม หรือจะมีประโยชน์ต่อองค์กรและนำมาประยุกต์ใช้ได้ ตรงจุดนี้ เจ้านายจะเห็นว่าเรากระตือรือร้นและไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เรียกได้ว่ามีไฟแรงกว่าใครเพื่อน โอกาสผ่านโปรก็มากขึ้นอีกด้วย 4. กฎระเบียบต้องเป๊ะ หากเป็นไปได้ ภายในช่วงทดลองงาน ควรหลีกเลี่ยงการขาด ลา มาสายเอาไว้ก่อนเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องพิสูจน์ความรับผิดชอบเบื้องต้นให้หัวหน้างานได้เห็น และเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมและวัดได้ชัดที่สุด ซึ่งหากคุณทำได้ นั่นก็หมายความว่ากฎอื่นๆขององค์กรคุณก็ทำได้เช่นกัน 5. หากพลาดไปต้องเรียนรู้ เนื่องจากการเป็นน้องใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการทำความผิดพลาดเกิดขึ้น ซึ่งการทำงานพลาดนั้นเกิดขึ้นได้ทุกระดับ สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดจุดนั้น และนำมาพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ทำผิดซ้ำอีก แบบนี้ถึงเรียกว่าเกิดการเรียนรู้และเป็นพนักงานที่น่าชื่นชมอีกด้วย ทั้ง 5 วิชานี้ ใครที่เป็นเด็กจบใหม่กำลังอยู่ในช่วงทดลองงานลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันดูนะคะ เพื่อที่จะได้ผ่านโปรให้ไวอย่างแน่นอน
เด็กจบใหม่หา Passion อย่างไรเจองานที่ใช่ไวกว่าที่คิด!
เด็กจบใหม่หา Passion อย่างไรเจองานที่ใช่ไวกว่าที่คิด!เป็นที่รู้กันดีว่าสถานการณ์โควิดที่อยู่กับเรามาหลายรอบแล้ว ดังนั้น การหางานใหม่สำหรับเด็กจบใหม่อาจจะดูเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายๆคน เพราะทั้ง Rate การเปลี่ยนงาน การเลิกจ้าง ดังนั้น เด็กจบใหม่ทั้งหลายต้องมีการปรับตัวต่างๆมากมาย โดยก่อนที่จะหางานนั้น เชื่อว่าเด็กจบใหม่หลายๆคนอาจจะเกิดอาการหมดไฟ หรือเรียกว่าหมด Passion นั่นเอง วันนี้จะมาบอก 5 วิธีสำหรับเด็กจบใหม่ว่าหา Passion อย่างไรเจองานที่ใช่ไวกว่าที่คิด! 1.หาจุดแข็งที่ใช่ การหา Passion ให้แรงกล้ายิ่งกว่าเดิมด้วยการหาจุดแข็งที่ใช่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเพราะการค้นหาว่าตัวเองมีดีด้านไหน และทำไมถึงโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น การมีความเป็นผู้นำ การชอบการแข่งขัน ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าตัวเองนั้นเด่นไม่แพ้ใคร เมื่อเทียบกับคนที่โปรไฟล์คล้ายๆกันจะได้มีความโดดเด่นและมีโอกาสได้งานมากกว่า 2.ใช้ Social Network เพิ่มโอกาสใหม่ๆ เพราะช่วงนี้นั้นเป็นช่วงที่ใครหลายๆคนอาจจะหมดไฟในการหางาน แต่อีกทางที่จะเติมไฟให้ตัวเองก็คือ การใช้ Social Media แพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ Linkedin เพื่อไปฝากประวัติตัวเอง หรือค้นหา Post สมัครงานที่น่าสนใจที่ใครเห็นก่อนก็ได้โอกาสสมัครงานดีๆก่อนนั่นเอง 3.ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองหมดไฟในการพัฒนาตนเองโดยการเติมไฟจากการไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ลงเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ต่างๆ ที่มีมากมายในอินเตอร์เน็ตเพื่อเติมทักษะให้เต็มเปี่ยมพร้อมที่จะเป็นผู้สมัครที่เพียบพร้อม ยิ่งมี certificate การันตีด้วยยิ่งดี รวมถึงเติมความรู้ด้านเทคโนโลยี ขั้นตอนการทำงานออนไลน์ และฟีเจอร์ใหม่ๆในอินเตอร์เน็ตที่อัพเดตไม่เว้นแต่ละวันด้วย 4.เติมทัศนคติที่ดีแบบ Growth Mindset เพราะ Growth Mindset หรือทัศนคติที่เด็กจบใหม่ควรเติมให้เต็มก่อนไปสมัครงานหลังโควิด เนื่องจากทัศนคติเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เด็กจบใหม่กลายเป็นพนักงานที่ใครๆก็ต้องการตัวได้ง่ายๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นการไม่เกี่ยงในการทำงานไม่ว่ายาก ง่าย หาทางแก้ไขปัญหา ฟันฝ่าอุปสรรค หรือมองว่าความพยายามและความทุ่มเทคือหนทางสู่การพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น 5.เตรียมเรซูเม่ที่สุดปัง เรซูเม่ที่สามารถนำเสนอตัวตนของคุณที่ดีที่สุดจะเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่ความสำเร็จได้งานตามที่มุ่งหวังได้ง่ายขึ้น การเลือกทำเรซูเม่กับ Super Resume จึงเป็นอีกช่องทางที่จะเตรียมความพร้อมของนักศึกษาจบใหม่ได้อย่างมีคุณภาพ เพราะเป็นเรซูเม่ที่ได้รับการยอมรับจาก HR ชั้นนำของประเทศ ทำให้เรามีโอกาสได้งานเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย ทั้ง 5 วิธีนี้ก็เป็นวิธีการหา Passion เด็กจบใหม่ที่หางานที่ใช่ไวกว่าที่คิดได้เมื่อทำตามวิธีเหล่านี้ได้ รับรองหางานได้ไวกว่าเดิมแน่นอนค่ะ
5 คำถามน่าสนใจเมื่อไปสัมภาษณ์ควรถามอะไรนายจ้าง
5 คำถามน่าสนใจเมื่อไปสัมภาษณ์ควรถามอะไรนายจ้างหากพูดถึงการสัมภาษณ์งาน ซึ่งถือว่าเป็นด่านแรกที่หลายๆคนจะต้องได้เจอก่อนๆ ดังนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะไปสัมภาษณ์งานจึงเป็นสิ่งจำเป็นเสมอที่ต้องทำ และคำถามที่หลายๆคนมักจะเจอนั้นหนีไม่พ้น “มีอะไรจะถามไหม?” ที่นายจ้างมักจะถาม ซึ่งการเตรียมคำถามไปก่อนจึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากตอบคำถามได้น่าประทับใจก็มักจะสร้างความประทับใจแรกให้กรรมการสัมภาษณ์และมีโอกาสได้งานมากขึ้นอีกด้วย ลองจดคำถามไว้ได้เลยค่ะ 1. วัฒนธรรมองค์กร เพราะเป็นเรื่องที่เหมาะกับการถามนายจ้าง เนื่องจากแต่ละองค์กรแต่ละองค์กรนั้นมีสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนกันดังนั้น การถามคำถามประมาณว่า วัฒนธรรมการทำงานขององค์กรนี้จะเป็นอย่างไร เพราะจะช่วยให้เราประเมินตัวเองได้ว่าเหมาะกับการทำงานที่นี่ไหม เพราะหากอยากทำงานในองค์กรนั้นนานๆ วัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา 2. ตำแหน่งงาน หากกำลังมองหาการเติบโตของตำแหน่งงาน คุณควรจะถามคำถามถึงโอกาสเติบโตของตำแหน่งงานว่าอีก 3-5 ปี ต่อมาจะเป็นอย่างไร หรือถามไปถึงเป้าหมายในการเลื่อนขั้นที่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร เพราะการเติบโตที่ชัดเจนจะทำให้คุณมีแพชชั่นในการทำงานและรับความท้าทายในการพัฒนาตัวเองในการรับบทบาทใหม่ๆมากขึ้น 3. ทีมงานในองค์กร อีกคำถามที่ควรถามก็คือเรื่องทีมงาน เพราะเป็นแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการทำงานว่าอยากทำงานเป็นทีม ได้หรือไม่ รวมไปถึงการชอบทำงานคนเดียวว่าทำได้หรือไม่เช่นกัน หากนายจ้างเห็นว่าคุณมีความสนใจที่จะทำงานในตำแหน่งดังกล่าวก็จะเพิ่มความสนใจให้ตัวคุณมากขึ้น 4. วิสัยทัศน์ผู้นำ หากอยากจะประเมินถึงความเติบโตขององค์กรได้นั้น อาจจะลองถามคำถามนายจ้างวิสัยทัศน์ของ CEO อีก 5 ปีนั้น เป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เตรียมตัวเองว่าจะต้องวางแผนชีวิตการทำงานไว้อย่างไร และการประเมินความเติบโตขององค์กรนั้นก็จะทำให้เรามองภาพกว้างในอนาคตได้ง่ายขึ้น 5. เป้าหมายองค์กร การได้รู้ว่าองค์กรนั้นมีแนวโน้มในการเจริญเติบโตของพนักงานอย่างไรนั้นสำคัญ โดยรายละเอียดที่ควรจะทราบก็รวมไปถึงเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวก็ยิ่งดี เพื่อเป็นการวางแผนการในอนาคตของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นการทบทวนได้ว่าเป้าหมายนี้สอดคล้องกับแพลนในอนาคตของเราหรือไม่อีกด้วย ทั้ง 5 คำถามนี้ก็เป็นแนวทางในการไปสัมภาษณ์แล้วผู้สัมภาษณ์เจอกับคำถามที่ว่า “มีอะไรจะถามนายจ้างไหม?”ที่สร้างสรรค์และแสดงตัวตนได้อย่างโดดเด่นจนทำให้นายจ้างสนใจมากขึ้นได้ง่ายๆค่ะ
กิจกรรมเพิ่มโอกาสได้งานสำหรับนักศึกษาที่กำลังมาแรง
กิจกรรมเพิ่มโอกาสได้งานสำหรับนักศึกษาที่กำลังมาแรงเพราะการพิจารณา Resume ในการรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานนั้น HR ปัจจุบันไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ในการคัดคนเข้าทำงานจากเกรดเฉลี่ยที่ต้องสูงอย่างเดียว แต่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ในโลกความเป็นจริงนั้น การหางานไม่ได้ง่ายเพียงมีแค่เกรดสูงอย่างเดียว เพราะหลายๆบริษัทนั้นเลือกคนเข้าทำงานจาก Resume ที่โดดเด่นจากนักศึกษาที่มี “ประสบการณ์” กันทั้งนั้น ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงประสบการณ์การทำงาน แต่หมายถึง ประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวระหว่างการเรียน ถ้ามีผลงานที่โดดเด่น โอกาสได้งานจะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย กิจกรรมจะมีอะไร ติดตามได้เลยค่ะ 1.งาน Part-time สำหรับงาน Part-time นอกจากจะเพิ่มรายได้แล้วยังจะเพิ่มประสบการณ์ในการทำงานจริงให้นักศึกษาเห็นภาพในการทำงานในชิวิตจริงอีกด้วย การทำงาน Part-time ยังทำให้นักศึกษาได้รับทักษะในการทำงานจริงอื่นๆอีก เช่น ความรับผิดชอบ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความมีมนุษยสัมพันธ์ในที่ทำงานอีกด้วย 2.คอร์สสัมมนา ฝ่าย HR มักจะมองว่าคุณเป็นคนที่ไม่เคยหยุดการเรียนรู้ มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเอง เมื่อคุณมีการเข้าอบรมสัมมนา โดยเฉพาะกิจกรรมที่มีใบรับรองหรือประกาศนียบัตรด้วยยิ่งดี โดยนักศึกษาควรจะมีอาชีพในฝันที่อยากทำและควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับการต่อยอดในสายงานนี้ก็จะได้เปรียบ 3.สายแข่งขันชิงรางวัล เพราะการเข้าประกวดนั้น ถือว่าเป็นการพัฒนาความสามารถของตนเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งการแข่งขันชิงรางวัลต่างๆนั้นควรจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคุณหรือสิ่งที่คุณสนใจก็จะทำให้โปรไฟล์โดดเด่นได้เป็นอย่างดี และยิ่งเป็นรางวัลระดับภาค ระดับประเทศ ก็ยิ่งทำให้ HR พิจารณาคุณเป็นพิเศษ 4.เก็บเกี่ยวจากชมรม ในการเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้น ไม่ควรเป็นการเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ควรเป็นการเก็บเกี่ยวจากชมรมด้วยก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเพิ่มโอกาสในการได้งานจากทักษะที่เรียนรู้ระหว่างการร่วมชมรม โดยเฉพาะการเลือกชมรมที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่คุณต้องการจะทำก็จะเป็นเรื่องที่ดีเกี่ยวกับงาน ทั้ง 4 กิจกรรมนี้ก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานสำหรับบัณฑิต เพราะจะช่วยเพิ่มศักยภาพในระหว่างการเรียนและยังช่วยทำให้ Resume เราโดดเด่นได้อีกด้วยค่ะ

Super Resume ช่วยหางานง่ายขึ้น

ทำเรซูเม่ให้โดดเด่นกว่าใคร

  • magnetic icon
    ให้บริษัทชั้นนำเห็นจุดแข็งของคุณ
  • magnetic icon
    นำเสนอตัวตนของคุณได้อย่างโดดเด่น
  • magnetic icon
    ช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้งานแน่นอน
เริ่มทำเรซูเม่เลย
Ep. 1 | Traditional Resume vs. Super Re…super resume icon

Ep. 1 | Traditional Resume vs. Super Re…

Super Resume
Ep. 2 | Super Resume ให้คุณยืนหนึ่งยังไงsuper resume icon

Ep. 2 | Super Resume ให้คุณยืนหนึ่งยังไง

Super Resume
เตรียมความพร้อมให้นักศึกษา ก่อนออกสู่โลกการทำงาน

เตรียมความพร้อมให้นักศึกษา ก่อนออกสู่โลกการทำงาน

ผ่านงานบรรยาย workshop “เขียนเรซูเม่ให้ปัง... จบใหม่ยังไงให้ได้งาน” พร้อมเทคนิควิธีในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์ด้วยวิทยากรคุณภาพและ มีประสบการณ์ตรงจาก JOBTOPGUN

line iconติดต่อเรา