ปีที่ผ่านมามีฟอร์เวิร์ดเมลที่มีการพูดถึงกันมากคือ เมลที่คุณพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อในหลวง คุณมองกระแสนี้อย่างไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว เราจึงต้องทำด้วยความแข็งแกร่ง ผมขอให้เราเชื่อมั่นแล้วก็ใช้ปัญญาในการพิจารณาแล้วก็ศึกษาก่อน ผมกล้าพูดได้เลยว่า ถ้าคนไทยได้เรียนรู้และปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงสอน นั่นแหละจะเป็นความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วก็เป็นการบูชาพระองค์ที่สูงที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าโครงการในพระราชดำริมีถึงกว่าสี่พันโครงการ ในขณะที่ชั่วชีวิตของเราอาจทำไม่ได้สักโครงการเดียวแล้วที่พระองค์ทรงงานหนักก็เพื่อพสกนิกรเป็น 100 ล้านคน ซึ่งรวมถึงในอดีตที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่ 60 ล้านคนในปัจจุบัน แล้วยังมีคนอีกทั่งโลกที่ได้เรียนรู้จากพระองค์ท่าน แม้แต่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีเคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ก็ตรัสว่าพระมหากษัตริย์ในโลกนี้ที่ท่านจะทรงเจริญรอยตามก็คือ เสด็จพ่อของพระองค์ท่าน (อดีตสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก) แล้วก็พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงทรงงานหนัก แล้วก็เสียสละมาตลอดชีวิต การที่ผมได้เป็นส่วนเล็กๆ ของคนไทยคนหนึ่งที่แสดงออกถึงความจงรักภักดี ผมคิดว่าเกิดมาชาติหนึ่งผมได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าในระดับหนึ่งแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าคนไทย...ผมคิดว่าน่าจะใช้คำว่า “ทุกคน” รักในหลวง แล้วก็เทิดทูนสถาบัน แต่การทดแทนหรือตอบแทนพระคุณพระองค์ท่านด้วยการช่วยกันปกป้องสถาบันนี้ให้ดำรงอยู่ ผมว่าสำคัญกว่าผมคิดว่า ธรรมะกับการเมืองไม่สามารถแยกจากกันได้ และต้องไปด้วยกัน ธรรมะจึงควรเป็นทั้งพื้นฐาน กระบวนการในการอบรมบ่มสอน และเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ ถ้าทุกคนมีธรรมะก็จะไม่เอารัดเอาเปรียบกัน จะทำอะไรด้วยความซื่อสัตย์ ไว้วางใจกันแล้วความพอเพียงและความเสียสละก็จะเกิดขึ้น
แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่คิดว่าศาสนาไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนะครับ
ผมจะเปรียบเทียบอยู่เสมอว่า ในศาสนามีการเมือง แต่ในการเมืองไม่ค่อยมีศาสนา ศาสนามีการเมืองก็คือมีระบบ มีวิธีคิดเรื่องการปกครอง มีการควบคุมดูแลว่าพระรูปนี้รูปนั้นมีความประพฤติเป็นอย่างไร รวมไปถึงมีการแต่งตั้งโยกย้ายในแบบการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ในการเมืองกลับไม่มีศาสนา หรือมีก็น้อยมาก ไม่ค่อยมีการนำเอาธรรมะ คุณงามความดีเข้าไปมีส่วนในการวางระบบ สังคมก็เลยมีปัญหา ซึ่งในฐานะที่ทำงานด้านการศึกษามาปีนี้เป็นปีที่สิบ ถ้าเราไม่ช่วยเลยก็น่าเสียดาย เพราะที่สุดแล้วการเมืองคือเรื่องที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม เพื่อเป็นพลังสำคัญหากแต่อยู่รอบๆ ตัวเรา อย่างเรื่องระเบียบวินัย การรับเงินแป๊ะเจี๊ยะ ไปจนถึงห้องน้ำสาธารณะไม่สะอาด หรือตึกที่สร้างไม่ได้มาตรฐาน ทุกอย่างเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น
แน่นอนว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่อยากให้เอาธรรมะไปปนกับเรื่องบ้านเมือง ผมคิดว่านั่นเป็นแนวคิดที่ไม่เข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง เพราะธรรมะสามารถทำประโยชน์ด้วยการเกื้อกูลต่อผู้อื่นได้ เพียงแต่ต้องผ่านการฝึกฝน ขัดเกลาให้เข้าใจในระดับหนึ่งหรือตกผลึกเสียก่อน แล้วค่อยเข้าไปทำด้วยความระมัดระวังโดยใช้สติ ปัญญา และองค์ความรู้ให้มากที่สุด ผมคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้คนมีความทุกข์มาก ธรรมะจะยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น และเมื่อศึกษาก็จะเข้าใจว่า จริงๆ แล้วธรรมะช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้จริงๆ
เมื่อมองย้อนกลับไป คุณได้เรียนรู้เรื่องอะไรมากที่สุดในช่วงเวลา 5 ปีในฐานะนักแสดงวัยรุ่น
ผมได้เรียนรู้เรื่อง “ความรักครอบครัว” เพราะความที่ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ลำบาก เงินทองไม่ได้มีมากมาย เป้าหมายสำคัญของผมในตอนนั้นจึงเป็นการหาเงินให้ครอบครัวเพื่อปลดแอกให้กับพ่อแม่ ผมจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ตามมาก็คือ เมื่อผมเอาเวลาไปหาเงินมากขึ้น เวลาที่จะได้อยู่ร่วมกับครอบครัวก็น้อยลง ผมต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไม่มีวันหยุดเหมือนคนทั่วไป อาจจะเหนื่อยบ้าง แต่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ก็ทำให้เกิดพลังใจที่เข้มแข็งตามมา จึงเป็นเหมือนการฝึกให้ผมมีวินัยมากขึ้น มีอิสรภาพในการตัดสินใจ วางแผน รวมทั้งมีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น
แต่ในที่สุดผมก็ได้พบว่าเงินไม่ใช่คำตอบที่สำคัญที่สุดเสมอไปเวลากับการสร้างความเข้าใจต่อกันต่างหากคือสิ่งที่เราควรจะทำให้กันและกัน จุดเปลี่ยนที่สำคัญของผมก็คือ เมื่อคุณพ่อจากไป ซึ่งต่อมาผมเรียกว่าเป็น “มรณะข้ามคืนที่ได้สร้างอัจฉริยะข้ามคืน” ทำให้ผมสามารถเข้าใจความจริงของชีวิตได้ในชั่วข้ามคืนว่า ชีวิตคนเรามันสั้นแค่นี้เอง เงินทองที่เราพยายามหามาตลอดเวลาที่เราอยู่ในวงการบันเทิงเพื่อที่จะทำให้พ่อแม่มีความสุข แต่มาวันหนึ่งเงินทองก็ไม่สามารถซื้อเวลายื้อชีวิตพ่อได้ ผมจึงเริ่มเข้าใจและกลับมาทบทวนว่าอะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด คำตอบคือการทำบุญทำกุศลและทำประโยชน์เพื่อคนอื่น
คุณเรียนจบด้านจิตวิทยาและศึกษาธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องจิตใจทั้งคู่ คุณคิดว่าเรื่องของจิตใจน่าสนใจอย่างไร
คือตอนที่เลือกเรียน ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะเรียนอะไร แต่ผมรู้ว่าผมไม่อยากเรียนตามคนอื่น เลยมองหาจนไปสะดุดกับคณะมนุษยศาสตร์ เอกจิตวิทยา ตอนนั้นจิตวิทยาในความคิดของผมเป็นคณะที่ดูลึกลับ เป็นศาสตร์ที่เป็นพลัง ที่อาจจะพิสูจน์ยาก ผมเลยอยากลองเรียนดู และพอเรียนแล้วผมกลับชอบมากเลย เพราะจิตวิทยาทำให้เกิดความเข้าใจคน โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด ซึ่งก็คือตัวเราเอง จิตวิทยาทั้งหมดเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง เมื่อเข้าใจตัวเองได้ เราก็จะสามารถวิเคราะห์หรือทำความเข้าใจผู้อื่นได้ในระดับหนึ่งด้วย แล้วมันก็จะค่อยๆ ยกระดับใหญ่ขึ้น จากจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ ไปสู่มนุษยศาสตร์ มนุษยวิทยา แล้วก็ไปสู่สังคมศาสตร์ในขณะเดียวกันจิตวิทยาก็แปลว่าความรู้เกี่ยวกับจิต ซึ่งในแง่การวิเคราะห์จิต ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าหลักธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เริ่มตั้งแต่จิตตอนแรกอาจจะเกิดจากความไม่รู้ พอไม่รู้ก็ปรุงแต่งคิดไปเองเออเอง กระทั่งเกิดสังขาร เกิดวิญญาณ เกิดการรับรู้ เกิดนามรูป แล้วเกิดการตกผลึก สังเคราะห์อะไรขึ้นมาก็ว่ากันไปตามกระบวนการปฏิจจสมุปบาท (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน) ซึ่งผมคิดว่าในทางตะวันตก เมื่อก่อนมีการทำความเข้าใจในเรื่องจิตน้อยมาก แต่จะมองจิตในแง่ของอารมณ์บ้าง แง่ของสัญชาตญาณดิบบ้าง แง่ของกลไกสมองทางเคมีร่างกายต่างๆ บ้าง มีการมองจิตในแง่ของจิตจริงๆ น้อยมาก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็สอนเรา ทำให้เกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกขึ้นไป ซึ่งต้องใช้เวลาและต้องใช้การฝึกฝน ซึ่งเวลาสิบปีที่ผมได้ทำงานด้านสังคมและงานอาสาสมัครและได้เรียนรู้พื้นฐานก็พยายามปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้น มีเวลาก็จะนั่งสมาธิแล้วพยายามปฏิบัติวิปัสสนา และเจริญสติมากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเข้าถึงความลับที่แท้จริงของจิต ซึ่งเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองแล้วก็คุ้มครองให้ตัวเราสามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายได้อย่างถูกต้องที่สุด แล้วก็แม่นยำที่สุด โดยไม่วอกแวกไม่หวั่นไหว ไม่ว้าวุ่น ไม่วุ่นวายกับเรื่องรอบตัว
|